วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คุตบะห์วันศุกร์ เรื่องการสร้างสังคมแห่งการศรัทธา


คุตบะห์วันศุกร์เรื่องการสร้างสังคมแห่งการศรัทธา
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย ขอให้เราทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลเลาะห์ด้วยการสร้างสังคมแห่งการศรัทธาให้เกิดขึ้นในสังคมของเราไม่ว่าจะเป็นสังคมขนาดเล็กในครอบครัวหรือสังคมในระดับชุมชนของเรา ในสังคมของเราปัจจุบันนี้เราทุกคนต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าความชั่วร้ายและความตกต่ำด้านศีลธรรมนั้นได้ลุกลามเข้าสู่สังคมของเราอย่างรวดเร็ว ศาสนาอิสลามใช้ให้มุมินผู้ศรัทธานั้นรวมตัวกันสร้างสังคมแห่งการศรัทธาให้เกิดขึ้นในสังคม มีมากมายหลายโองการในคำภีร์อัลกุรอ่านที่ใช้ให้เรานั้นร่วมกันสร้างสังคมแห่งการศรัทธาดังที่พระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงตรัสไว้ในคำภีร์อัลกุรอ่านว่า
  
และพวกจงช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรม และความยำเกรง และจงอย่าช่วยกันในสิ่งที่เป็นบาป และจงอย่าช่วยกันในสิ่งที่เป็นบาป และเป็นศัตรูกันและพึงกลัวเกรงอัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ
และพระองค์ยังทรงกล่าวว่าไว้อีกว่า
وَلَوْ أَنَّ أَهْلَ الْقُرَى آمَنُواْ وَاتَّقَواْ لَفَتَحْنَا عَلَيْهِم بَرَكَاتٍ مِنَ السَّمَاءِِ وَالأَرْضِ
และถ้าหากผู้คนในชุมชนนั้นมีความศรัทธาและมีความยำเกรง แน่นอนเราจะเปิดประตูความจำเริญแห่งฟากฟ้าและแผ่นดินให้แก่พวกเขา  
จากคัมภีร์อันกุรอ่านโองการที่ได้อ่านไปแล้วนั้นพระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงบอกให้เราได้รู้ว่าเมื่อใดที่ผู้คนสังคมในชุมชนของเรานั้นมีความยำเกรงต่อพระองค์ พระองค์จะทรงเปิดประตูแห่งบารอกัตความจำเริญทั้งจากฟากฟ้าและแผ่นดินมาให้แก่เรา แต่เมื่อใดที่ผู้คนในสังคมของเราขาดความยำเกรงต่ออัลเลาะห์ ประตูแห่งความจำเริญจะถูกปิดลง ภัยบาลาจากอัลเลาะห์ก็จะมายังกลุ่มชนที่ขาดการศรัทธาต่ออัลเลาะห์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังที่พระองค์เคยทำลายกลุ่มชนต่างๆ มาแล้วในอดีตแต่พระองค์จะทรงคุ้มครองหมู่บ้านที่มีความศรัทธาและทำความดี

และพระเจ้าของเจ้าจะไม่ทรงทำลายหมู่บ้านโดยอยุติธรรม (*1*) โดยที่ประชากรของหมู่บ้านนั้นเป็นผู้ฟื้นฟูทำความดี
พี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย เป็นหน้าที่ของมุมินผู้ศรัทธาทุกคนที่จะคอยสอดส่องดูแลสังคมของเราให้อยู่ในความดีงาม และห้ามปราบในสิ่งที่ชั่วร้ายไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่ด้วยการการกระทำของเรา คำพูดของเรา หรืออาจเป็นการเผยแผ่ผ่านสื่อต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นหน้าที่ ที่เราจะต้องปฏิบัติ ดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า

และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งกลุ่มชนหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำสิ่งที่ดีงาม และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่เป็นความชั่วและชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย เรามักจะได้ยินได้เห็นเหตุภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าจะเหตุแผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟป่า ลมมรสุมและภัยพิบัติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเรามักจะได้ยินใครๆ เขาบอกว่ามันเป็นภัยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ในคำภีร์อัลกุรอ่าน อัลเลาะห์ได้โต้ตอบคำพูดของมนุษย์เอาไว้ว่า
﴿ظَهَرَ الْفَسَادُ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ بِمَا كَسَبَتْ أَيْدِي النَّاسِ لِيُذِيقَهُم بَعْضَ الَّذِي عَمِلُوا لَعَلَّهُمْ يَرْجِعُونَ﴾ ﴿الروم: ٤١﴾
ความว่า ความหายนะและภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้นทั้งบนบกและในทะเล ล้วนแล้วมาจากการกระทำของมนุษย์เองทั้งสิ้น เพื่อที่มนุษย์ได้ลิ้มรสจากบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาได้กระทำมา เผื่อว่าพวกเขาจะสำนึกและหวนกลับ(ไปสู่แนวทางของพระเจ้า)”
 ด้วยเหตุนี้เองเราในฐานะที่เป็นมุสลิมเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์เราจะต้องสร้างสังคมที่เป็นสังคมแห่งการศรัทธาให้เกิดขึ้นในสังคมของเรา อย่าได้ทำตัวลื่นไหนไปกับกระแสสังคมที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลาม เพราะว่าเมื่อการลงโทษหรือภัยบาลาจากอัลเลาะห์มาถึงกลุ่มชนใดมันก็จะครอบคลุมไปถึงทุกคนในชุมชนนั้นด้วย มีนักสังคมวิทยาท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า “สังคมจะเลวนั้นไม่ใช่เป็นเพราะคนเลว แต่สังคมจะเลวเป็นเพราะคนดีอยู่เฉยๆ ไม่ช่วยกันดูแลสังคม” สุดท้ายนี้ของฝากคำภีร์อัล-กุรอานโองการหนึ่งเพื่อให้เรานำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา
إِنَّ اللّهَ لاَ يُغَيِّرُ مَا بِقَوْمٍ حَتَّى يُغَيِّرُواْ مَا بِأَنْفُسِهِمْ
แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงประชาชาติใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตนเอง  


วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คุตบะห์วันศุกร์ เรื่องคุณค่าของเวลา


คุตบะห์วันศุกร์ เรื่องคุณค่าของเวลา

ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย ขอให้เราทั้งหลายสำนึกในความเมตตาที่พระองค์ทรงประทานให้เราแต่ละคน ถึงแม้ว่าชีวิตของคนเราแต่ละคนนั้นเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมารวย บางคนเกิดมาจน ถ้าหากท่านเป็นคนรวยท่านจะต้องขอบคุณต่ออัลเลาะห์ให้มากๆ เพราะพระองค์ทรงเมตตาต่อท่าน ถ้าหากท่านเกิดมาเป็นคนยากจนท่านก็ยิ่งจะต้องขอบคุณต่ออัลเลาะห์ให้มากๆ เพราะความยากจนให้ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในหนทางของพระองค์มากว่าความร่ำรวย ถึงแม้ว่ามนุษย์แต่ละคนเกิดมาแตกต่างกันในด้านฐานะแต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์แต่ละคนมีเท่าเทียมกันนั้นก็คือเวลา มนุษย์มีเวลาในแต่ละวันเท่าเทียมกันคือวันละ 24 ชม. ตามหลักวิชาจิตวิทยาชีวิตของมนุษย์เรานั้นสามารถที่จะแบ่งออกเป็นช่วงๆ ได้ 3 ช่วงวัย ช่วงที่1 คือช่วงวัยพึ่งพา ก็คือวัยเด็กที่ยังไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากพ่อแม่ เมื่อเลยวัยพึ่งพาก็เป็นวัยพากเพียรเรียนรู้ พากเพียรในการแสวงหาปัจจัยยังชีพ พากเพียรในการทำคุณงามความดี หลังจากผ่านพ้นวัยการพากเพียรก็เป็นวัยของการพักผ่อน จากวงจรชีวิตของมนุษย์ผมได้กล่าวมาทั้งสามช่วงวัยนั้น คือวัย พึ่งพา วัยพากเพียร วัยพักผ่อน เราจะเห็นได้ว่าชีวิตของคนเรานั้นช่างสั้นเสียเหลือเกินถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่ามันจะยาวนาน แต่เมื่อเทียบกับวันเวลาที่เราจะต้องไปในวันแห่งการฟื้นคืนชีพในมันเทียบกันไม่ได้เลยดังที่อัลกุรอ่านได้แจ้งให้เราได้รู้ว่า

วันที่พวกเขาจะเห็นมัน(วันกิยามะฮฺ)ประหนึ่งว่าพวกเขามิได้พำนักอยู่ในโลกนี้  เว้นแต่เพียงชั่วครู่หนึ่งของยามเย็นและยามเช้าของมันเท่านั้น” (อันนาซิอ๊าต  46)
จากคำภีร์อัลกุรอ่านโองการดังกล่าวนั้นบอกให้เราได้รู้ว่าชีวิตของในดุนยานี้ทั้งชีวิตประเสมือนกับเพียงชั่วครู่ชั่วยามในยามเช้าหรือยามเย็นของเพียงวันเดียวของโลกหน้าเท่านั้น
ท่านหะซันอัลบัสรีกล่าวว่า ไม่มีวันใดที่พอแสงอรุณออกมา นอกจากมันจะร้องเรียกว่า :โอ้ลูกหลานของอาดัม ฉันเป็นสิ่งถูกสร้างใหม่และฉันจะเป็นสักขีพยานต่อการงานของท่าน ดังนั้นจงเอามันไปใช้เตรียมเสบียงเถิด เพราะเมื่อฉันจากไปแล้ว ฉันจะไม่หวนคืนกลับมาอีกตราบถึงวันกิยามะฮ์มีนักกวีชาวอาหรับท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่าในเชิงเปรียบเอาไว้อย่างน่าคิดว่า
กลางคืนนั้นถึงแม้ว่ามันจะยาวนานสักเพียงไหน แต่ว่ากลางวันนั้นมันจะต้องกลับมาหาเราอย่างแน่นอน
ฉันใดก็ฉันนั้นโลกดุนยานี้ถึงแม้เราจะรู้สึกว่ามันจะยาวนานเพียงไหน แต่ว่าเราจะต้องเดินทางไปยังโลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่เราจะไปโลกหน้านั้นเราได้เตรียมอะไรเอาไว้บ้างหรือยัง เรายังคงผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องของการละหมาด 5 เวลา เรายังคงผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องที่ศาสนาสั่งใช้อยู่หรือไม่ เราเป็นบุคคล
1. ขอสาบานด้วยกาลเวลา (*1*)
(1)  อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงสาบานด้วยกาลเวลาอัลอัศรฺ คือกาลเวลาทั้งหมด เวลากลางคืน กลางวัน เช้า เย็น และกาลเวลาที่มีสิ่งแปลกประหลาด และสิ่งที่เป็นบทเรียน และข้อคิดต่าง ก้อตาดะฮฺกล่าวว่า อัลอัศรฺคือยามสุดท้ายของเวลากลางวัน พระองค์ทรงสาบานด้วยเวลาอัลอัศรฺ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงสาบานด้วยเวลาอัฎฎฮา เพราะในเวลาทั้งสองเป็นการยืนยันถึงเดชานุภาพของพระองค์ และเป็นข้อเตือนสติที่ดี

2. แท้จริงมนุษย์นั้น อยู่ในการขาดทุน (*1*)
(1)  คือมนุษย์นั้นอยู่ในสภาพที่ขาดทุนและหายนะ  เพราะเขาปล่อยให้วันเวลาผ่านพ้นไปโดยไม่สนใจการทำคุณงามความดี

3. นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย และตักเตือนกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และตักเตือนกันและกันให้มีความอดทน (*1*)
(1)  เว้นแต่บุคคล 4 ประเภท คือ ผู้ศรัทธา กระทำความดี สั่งเสียกันในสัจธรรม และสั่งเสียกันให้มีความอดทน บุคคลที่มีคุณลักษณะดังกล่าวเป็นผู้ประสบชัยชนะหรือได้รับความสำเร็จ เพราะพวกเขายอมเสียสละสิ่งที่ไม่มีค่าด้วยสิ่งที่มีค่า หรือยอมแลกเปลี่ยนความใคร่ใฝ่ต่ำที่อยู่ใกล้มือด้วยความดีที่อยู่ยงตลอดไป และตักเตือนหรือสั่งเสียซึ่งกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรมซึ่งเป็นความดีทั้งหมด เช่น การศรัทธา การเชื่อมั่น การเคารพภักดีต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี และตักเตือนหรือสั่งเสียซึ่งกันและกันให้มีความอดทนต่อความยากลำบาก การปฏิบัติสิ่งที่เป็นที่ต้องห้าม..



คุตบะห์วันศุกร์ เรื่องมุสลิมกับการศึกษา


คุตบะห์วันศุกร์ เรื่องมุสลิมกับการศึกษา 

ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย ในทุกๆวันศุกร์นั้นเราจะมาฝังคุตบะห์ฝังการกล่าวตักเตือนกันชักชวนให้ทำในเรื่องของสิ่งที่ดีงามและห้ามปรามกันในเรื่องของสิ่งที่เป็นความชั่วทั้งหลาย เพราะในยุคสมัยของเราปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนมากกำลังหันหลังให้กับศาสนาแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องของดุนยา เรื่องราวของนรกและสวรรค์กำลังจะกลายเป็นเพียงนิทานปรัมปราที่เล่าสู่กันฟัง เรากำลังใช้ชีวิตสวนทางกับคำสอนของศาสนาอิสลามใช่หรือไม่? เราได้เตรียมอะไรเอาไว้บ้างที่จะพบกับชีวิตในโลกหน้า  เราจะรู้จักได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ถูกต้องแล้วหรือว่าผิดหลักการศาสนา ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย ด้วยกับการศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้เราได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด โดยเฉพาะในยุคสมัยที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ เป็นยุคที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอม เต็มได้ภัยอันตรายมากมาย และเป็นยุคแห่งความชั่วร้าย พวกเราทั้งหลายกำลังตกอยู่ท่ามกลางกระแส  ของการรุกรานทางวัฒนธรรม ความย่ำแย่ทางสังคม และความตกต่ำทางศีลธรรม  ที่นับวันยิ่งเพิ่มทวีคูณและโหมกระหน่ำมาจากทุกทิศทุกทางเพื่อเผาผลาญทำลายการอีหม่าน และความเป็นอยู่ตามวิถีชีวิตแบบอิสลาม  ซึ่งพวกเราจะเห็นได้จากปัญหาต่าง ๆ ที่มันประดัง เข้ามาอยากมากมายในสังคมโลก หรือแม้แต่สังคมรอบ ๆ กายของเรา  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการก่ออาชญากรรม ปัญหาการผิดประเวณี ปัญหาการพนัน ปัญหายาเสพติด  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ทำไมจึงได้เกิดขึ้น ? ถ้าไม่ไช่เพราะสาเหตุเกิดมาจากความอ่อนแอของอุมมัตประชาชาติอิสลาม การถดถอยของอีหม่านและเพราะสภาพจิตใจของมุสลิมเราที่ถูกกัดกร่อนจนป่วยเรื้อรังเป็นโรคร้ายนั่นเอง  พี่น้องมุสลิมที่รัก  ไม่มีใครที่จะปลอดภัยจากอันตรายของฟิตนะห์ต่าง ๆ นอกจากผู้ที่ได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์เท่านั้น  หนทางเดียวที่มนุษย์จะปลอดภัยจากภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งในโลกนี้และโลกอาคีรัต  คือ  แนวทางของการศรัทธา และวิชาความรู้  ด้วยการยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักคำสอนของอัล กุรอ่าน และฮาดิษของท่านรอซู้ล (ซ.ล.) พี่น้องมุสลิมที่รัก  สิ่งแรกที่มุสลิมเราทั้งหลายจะต้องเรียนรู้ คือการเรียนรู้การศึกษาเพื่อให้เกิดศรัทธา เพื่อรู้จักอัลลอฮ์พระเจ้าของเราผู้ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย และเรียนรู้ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงใช้ละทิ้งในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้าม การเรียนรู้เพื่อให้เกิดศรัทธาเป็นอันดับแรก  ทำให้มนุษย์ไม่ลุ่มหลงอยู่กับวัตถุ  การสะสมทรัพย์  ไม่ยึดติดอยู่กับโลกดุนยามากจนเกินไป ดังที่คัมภีร์อัลกุรอ่านโองการแรกที่ถูกประทานลงมาให้กับท่านศาสดามูฮัมหมัดคือคำสั่งใช้ให้ท่านนั้นอ่าน
1.จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงสร้าง
2. ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด
3. จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง
4. ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา
5. ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ (*1*)
 ดังนั้นการเรียนรู้ทางด้านศาสนานั้น  จึงถือว่ามีความจำเป็นมากในยุคปัจจุบันที่กำลังถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมตะวันตก  แต่ไม่ไช่ว่าไม่สนับสนุนให้เรียนรู้ทางด้านสามัญ  เพราะอิสลามนั้นไม่ได้แยกอาคีรัตออกจากดุนยา แต่อิสลามเป็นศาสนาที่รวมไว้ซึ่งทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะฉนั้น  นักการศาสนาที่ปลีกตัวออกห่างจากดุนยา หรือนักธุรกิจที่ละทิ้งการทำอีบาดัตนั่นคือความเข้าใจผิดอย่างแรงเพราะมุสลิมที่มีแนวความคิดที่ถูกต้องนั้น คือ ผู้ที่หัวใจของเขานั้นมีอัลลอฮ์ในขณะที่สองมือของเขาโอบอุ้มงานของดุนยาที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน ดังนั้น มันไม่ได้เป็นความผิด กับการที่คนคนหนึ่งนั้นเขาได้แสวงหาดุนยาเพื่ออัลลอฮ์  และโปรดอย่าทำให้ดุนยานั้นครอบงำหัวใจของพวกเรา.
 พี่น้องมุสลิมที่รัก เพราะฉนั้น สำหรับแนวทางการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับมุสลิมในยุค ปัจจุบัน คือ การศึกษาควบคู่กันไป  ทั้งทางด้านศาสนาและด้านสามัญเพราะการศึกษาควบคู่กันไป จะทำให้เรามีความรู้กว้างขึ้น มีวิสัยทัศน์ในการมองปัญหา และแก้ไขปัญหา ไม่ยึดติดอยู่ในแนวคิดเดียว  และที่สำคัญมันจะเป็นการช่วยเพิ่มพูนให้เรามีอีหม่านเพิ่มมากขึ้น
พี่น้องมุสลิมที่รัก  เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับพวกเรา ในการที่พวกเรานั้นควรสนับสนุน การเรียนทั้งภาคศาสนาและสามัญควบคู่กันไป  ซึ่งวิชาความรู้ตามทัศนะของท่านรอซู้ล(ซ.ล.)  คือ วิชาความรู้ที่มาช่วยสนับสนุนและช่วยอุปถัมภ์ทั้งทางโลกและทางศาสนา ท่านอิหม่ามชาฟีอีได้กล่าวว่า
                  مَنْ اَرَادَ الدُنْيَا فَعَلَيْهِ بِالْعِلْمِ وَمَنْ اَرَادَ الآْخِرَةَ فَعَلَيْهِ بِالْعِلْمِ وَمَنْ اَرَادَهُمَا مَعًا فَعَلَيْهِ بِالْعِلْمِ
ความว่า  บุคคลใดที่ต้องการดุนยา ก็จะต้องด้วยวิชาความรู้ และบุคคลใดที่ต้องการอาคีรัต
ก็จะต้องด้วยวิชาความรู้  และบุคคลใดที่ต้องการทั้งดุนยาและอาคีรัตก็จะต้องด้วยวิชาความรู้.
พี่น้องมุสลิมที่รัก  หลักการสำคัญของการเรียนนั้น คือ เราต้องตั้งใจเรียนเพื่อให้เกิดความรู้ที่จะนำมาสู่การมีศรัทธาเพิ่มขึ้น  ไม่ไช่ตั้งใจเรียนเพื่อให้มีงานทำ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อให้มีฐานะ มีหน้ามีตาในสังคม  และที่สำคัญเราจะต้องตระหนักว่า เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน ก็เพียงเพื่อไปสู่อีกโลกหนึ่งอันมั่นคงและถาวร.  ดังนั้น อัลเลาะฮ์ทรงเน้นความตายอยู่ก่อนความมีชีวิตก็ด้วยสาเหตุนี้ ทั้งที่เราทั้งเราทราบดีว่าเวลาที่จะตายนั้นต้องอยู่ลำดับหลังจากการมีชีวิตเสียก่อน

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คุตบะห์วันศุกร์

คุตบะห์วันศุกร์ เรื่องการรำลึกถึงความตาย 

ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย ขอให้เราทั้งหลายได้ขอบคุณต่ออัลเลาะห์ ให้มากๆ ที่พระองค์ได้ทรงไว้ชีวิตเราให้เราได้มีโอกาสทำความดีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่พี่น้องของเราหลายๆคน ต่างกลับคืนสู่พระเมตตาของอัลเลาะห์คนแล้วคนเล่า ทั้งๆ ที่เขาเหล่าอายุน้อยกว่าเราก็มี แต่เรายังโชคดีที่เรายังมีลมหายใจยังมีโอกาสที่จะทำคุณงามความดีก่อนที่ความตายนั้นจะมาเยือนเรา ในทุกๆ วันศุกร์นั้นเราจะได้ยินได้ฟังคอเตบอ่านคุตบะห์และเตือนเราเป็นประจำด้วยกับโองการในคำภีร์อัลกุรอ่านให้เรานั้นเตรียมพร้อมที่จะพบกับความตาย
 ( يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ حَقَّ تُقَاتِهِ وَلَا تَمُوتُنَّ إِلَّا وَأَنْتُمْ مُّسْلِمُونَ )
“โอ้บรรดาผู้ที่ยำเกรงต่ออัลเลาะห์ทั้งหลาย สูเจ้าจงยำเกรงต่ออัลเลาะห์อย่างจริงจัง และสูเจ้าทั้งหลายอย่าได้ตายจนกว่าสูเจ้าจะเป็นผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง” 



ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย ชีวิตหลังจากความตายนั้นเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ในอิสลาม ความตายไม่ได้เป็นการสิ้นสุดหรือเป็นจุดสุดท้ายของชีวิต หากแต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่มนุษย์จะก้าวไปสู่ชีวิตที่แท้จริงและนิรันดร ในคำภีร์อัลกุรอ่านได้เตือนให้เรารู้อีกเช่นกันว่า 8. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริงความตายที่พวกท่านหนีจากมันไปนั้น มันจะมาพบกับพวกท่าน แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านตามที่พวกท่านได้ประกอบกรรมไว้ (*1*) ในอิสลาม มนุษย์ จะไม่กลับชาติมาเกิดอีกหลังจากที่เขาตายไปแล้ว แต่อิสลามถือว่า ชีวิตในโลกนี้ คือการเตรียมตัวสำหรับชีวิตในโลกหน้าอันถาวร เมื่อเขาสิ้นชีวิตลง วิญญาณของเขา จะไปรออยู่ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าโลก "บัรซัค" อันเป็น โลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า และเมื่อถึงวันโลกาวินาศ ซึ่งเป็นวันแห่งการสิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับสูญ แล้วหลังจากนั้นทุกชีวิตจะถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกชีวิตจะถูกนำมาชุมนุมที่ มะฮฺชัร เพื่อรอรับการตัดสินต่อการกระทำที่เขาได้ทำไว้ ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผลจะเป็นอย่างไรนั้น จึงขึ้นอยู่กับการงานที่เขาได้กระทำเอาไว้ ใครทำความดีเอาไว้เท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน ใครทำความชั่วไว้เท่ากับผงธุลีดินเขาก็จะได้เห็นมันเช่นกัน ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย สัญญาณเตือนภัยหรือว่าลางบอกเหตุอีกอย่างหนึ่งที่บอกให้เราได้รู้ว่าวันสิ้นโลกนั้นกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว นั้นก็คือเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทุกวันนี้เรามักจะได้ยินข่าวแผ่นดินไหวอยู่เป็นประจำ และก็ไหวบ่อยขึ้นเรื่อย แต่ในคำภีร์อัลกุรอ่านนั้นได้บอกให้เราได้รู้ไว้เป็นเวลา 1400 กว่าปีมาแล้วถึงเหตุการณ์แผ่นไหว คำภีร์อัลกุรอ่านได้บอกเอาไว้ว่าเมื่อวันสิ้นโลกมาถึงนั้น จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ดังที่มีระบุเอาไว้ในซูเราะห์ อัซซัลซาละห์ 
 1. เมื่อแผ่นดินได้ถูกทำให้ไหวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง 
 2. และสิ่งที่อยู่ใต้แผ่นดินนั้นได้แตกออกมา (*1*) (1) เมื่อแผ่นดินได้เคลื่อนไหวและสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอันเนื่องจากได้เกิดวันกิยามะฮฺขึ้นแล้ว มันจะไม่สงบและระงับการสั่นสะเทือนจนกว่าจะได้ระบายสิ่งของหนัก ๆ เช่น ขุมทรัพย์ที่ถูกสะสมไว้ และคนตายออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้หมายถึงว่าการเป่าสังข์ครั้งแรกได้เกิดขึ้นแล้ว
 3. และมนุษย์จะกล่าวว่า เกิดอะไรขึ้นแก่มันเล่า (*1*) (1) เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นมนุษย์จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า เกิดอะไรขึ้นแล้วเพราะเป็นการสั่นสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่ สำหรับมนุษย์ที่ถามคำถามขึ้นเช่นนี้ เป็นมนุษย์ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อวันกิยามะฮฺ ส่วนมนุษย์ผู้ศรัทธาย่อมทราบดีถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งจากการศรัทธาของเขา 
 4. ในวันนั้นมันจะบอกข่าวคราวของมัน 
 5. ว่าแท้จริงพระเจ้าได้มีบัญชาแก่มัน (*1*) 
 6. ในวันนั้นมนุษย์จะกระจายออกมาเป็นพวก ๆ เพื่อพวกเขาจะถูกให้เห็นผลงานของพวกเขา (*1*) 
 7. ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน 
 8. ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลีเขาก็จะเห็นมัน (*1*)